เมื่อคุณเขียน คุณกำลังอ่านหัวใจจของตัวเอง – Note a Book
“เมื่อคุณอ่าน คุณกำลังอ่านหัวใจของนักเขียน แต่เมื่อคุณเขียน คุณกำลังอ่านหัวใจของตัวเอง” – ประโยคอันงดงามนี้ติดอยู่ที่ข้างฝาของร้านสมุดทำมือเล็กๆ ที่ชื่อ Note a Book ซึ่งตั้งอยู่ในโครงการบ้านข้างวัด จังหวัดเชียงใหม่ ในยุคของการใช้นิ้วสัมผัสหน้าจอแทนการสื่อสาร การสัมผัสแป้นพิมพ์แทนการจรดปากกา ยังมีชายคนหนึ่งลุกขึ้นมาเย็บสมุดและยังชีพจากมัน คนที่ละทิ้งการงานที่ใครๆ ต่างก็มองว่าดูดีและมีอนาคต มาขายของที่ว่ากันว่ากำลังจะตาย
โน้ต – ศุภชัย กองประชุม เจ้าของร้าน Note a Book เล่าให้เราฟังถึงบางช่วงบางตอนในชีวิตของเขา ชีวิตที่ผูกพันกับหนังสือ สมุด ปากกา ดินสอ การอ่านบทกวี การเขียนบันทึก และการเขียนจดหมาย เหมือนชีวิตเขาผูกติดอยู่กับสิ่งที่เป็นอดีต และเมื่อเขาต้องก้าวเดินไปในอนาคตเขาก็เอาอดีตของเขามาด้วย
“อนาคตที่ไม่มีอดีต ผมไม่ไปหรอกครับ อนาคตของผมจะต้องมีอดีตของผมติดไปด้วย ไม่ว่าอดีตนั้นจะดีหรือเลว มันก็จะอยู่กับผมตลอดไป สมุดก็เช่นกัน มันอยู่กับผมตั้งแต่จำความได้ จนถึงตอนนี้ผมก็เลี้ยงชีพจากการทำสมุด และในอนาคตผมก็จะยังมีสมุดไม่ว่าผมจะเป็นเจ้าของร้านสมุดอยู่หรือไม่ก็ตาม” โน้ตบอกเราถึงสิ่งที่เขาคิด
ตั้งแต่จำความได้ โน้ตก็ผูกพันอยู่กับการเขียนและการอ่าน เขารักการอ่านโดยธรรมชาติ ที่บ้านไม่ได้มีหนังสือกองโตหรือมีใครทำเป็นแบบอย่างแก่เขา ตั้งแต่ประถมเขาก็มักจะเอาหนังสือเรียนมาอ่านเล่น อ่านพวกหนังสือนอกเวลา มัธยมจวบจนถึงมหาลัยก็ยังทำแบบนี้เรื่อยมา หนังสือเป็นเพื่อนคู่กายของเขาเสมอ จะต่างไปก็เพื่อนของเขานั้นก็เข้มข้นขึ้นตามวันวัย จากนิทานกลายเป็นนิยาย จากบทกวีเข้าสู่วรรณกรรม เมื่ออ่านมากเข้าเขาก็ลองเขียน และพบว่าบางชิ้นงานได้รับการตีพิมพ์บ้างเหมือนกัน
“ผมรักการอ่านมาก ผมชอบอ่านพวกวรรณกรรมและบทกวี และก็เขียนไว้บ้างเหมือนกัน การรักการอ่าน รักการเขียนของผมทำให้ผมรักสมุด ไม่ต้องสงสัยเลย มันเป็นไปอย่างธรรมชาติมาก ผมสามารถขลุกตัวอยู่ในร้านหนังสือได้ทั้งวัน พลิกอ่านหนังสือเล่มที่สนใจ ซื้อสมุดปากกาที่ชอบ ที่บ้านผมมีหนังสือทุกมุม มีสมุดทุกที่ บางครั้งคราวที่ผมนึกอยากจะให้รางวัลพิเศษแก่ตัวเองบ้าง ผมก็เดินเข้าร้านหนังสือ”
แต่แม้จะชอบสมุดหนังสือขนาดนั้นเขาก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเปิดร้านเป็นของตัวเองได้ โน้ตยอมรับว่าเขาเข้าใจในเงื่อนไขทางธุรกิจสิ่งพิมพ์ เขาก็หวาดกลัวที่จะเดินบนเส้นทางนี้ แม้มันจะดูยั่วยวนชวนฝันมากก็ตามที
“เอาตรงๆ ผมก็เคยคิดอยากจะเปิดร้านหนังสือนะ ร้านที่มีหนังสือเยอะๆ มีเครื่องเขียน มีสมุดสวยๆ แต่มันก็เป็นฝันที่ช่างห่างไกลเหลือเกินในตอนนั้น ทั้งความเป็นไปได้และข่าวที่ออกมาทุกวันว่าร้านหนังสือเก่าๆ ที่เราได้ยินชื่อมานาน ทยอยปิดตัวลง”
เขาได้แต่เก็บความฝันนั้นไว้ในใจลึกๆ จนที่สุดเขาก็ได้ทำตามปรารถนาของเขาได้ เมื่ออายุล่วงผ่านมาถึงวัยครบสามสิบปีพอดี
หลังจากจบจากมหาวิทยาลัย โน้ตเข้าทำงานในธนาคารแห่งหนึ่ง ซึ่งตรงตามสายวิชาที่เรียนมา เขาจบจากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ การเดินเข้าสู่วงการธนาคารจึงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่มันติดอยู่นิดเดียว ติดตรงที่มันไม่ใช่ความฝันของเขา
“มันไม่ใช่หรอกครับ แต่เราก็ต้องทำเพื่อดำรงชีวิต แม้ว่ามันจะไม่ใช่งานในฝันของผม ผมว่าผมก็ทำมันได้ดีพอตัวนะ ผมยังเชื่อนะว่าคนส่วนใหญ่ในโลกนี้ไม่ได้ทำตามฝันหรอก แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณจะชุ่ยในงานที่คุณกำลังทำอยู่นะ แม้ไม่ใช่งานในฝันแต่คุณก็ต้องทำให้ดีที่สุด”
ในค่ำคืนหนึ่งหลังจากที่เหนื่อยล้าจากการทำงาน โน้ตกำลังจะเปิดเกมส์เล่นดังเช่นเคย แต่เขากลับรู้สึกว่าตัวเองกำลังทำตัวไร้แก่นสารเหลือเกิน เขาอยากทำอะไรที่เป็นประโยชน์แก่ตัวเองบ้างแต่ก็นึกไม่ออกอยู่ดี หันซ้ายขวาก็เจอเข้ากับกองหนังสือกองโตที่เขายังไม่ได้อ่าน ตั้งแต่ทำงานการอ่านหนังสือก็ลดน้อยลง ไม่ว่าจะจากเหตุผลใดก็ตามคนที่รักการอ่านอย่างเขาเริ่มตีตัวออกห่างสิ่งที่เขารักอย่างหนังสือ เขาอยากอ่านมันในคืนนี้แต่ก็รู้ดีว่ามันจะไปจบที่เปิดเกมส์เล่นเหมือนเคย
“มันไม่ได้ทำอะไรน่ะ เวลาอ่านหนังสือมือมันก็ว่างๆ เราก็นอนอ่าน แป้บเดียวเดี๋ยวได้ปิดละมาเปิดเกมส์เล่นแน่นอน ผมหันไปเจอสมุดเลยนึกขึ้นได้ว่าเคยลองเย็บสมุดหลายปีมาละแต่ก็ไม่สำเร็จ คืนนี้จะลองทำอีกที แต่เป้าหมายในตอนนี้มันเปลี่ยนไปไง เราไม่ได้ต้องการให้มันสำเร็จ ความสำเร็จของเราคือเราไม่กลับไปเปิดคอมเล่นเกมส์ แล้วคืนนั้นก็เย็บไม่เสร็จเป็นเล่มจริงๆ นั่นแหละ มาสำเร็จหลายคืนให้หลังจากนั้น มันภูมิใจมากเลยนะ แม้สมุดเล่มแรกนั้นจะไม่ค่อยสวยเลยก็ตามที”
จากนั้นเขาก็เริ่มเย็บสมุดแจกเพื่อนบ้าง ให้เป็นของขวัญบ้าง จนวันหนึ่งที่โครงการบ้านข้างวัดมีงานตลาดนัดโน้ตก็ลองเอาสมุดของเขาไปขายดู ปรากฏว่าขายดีจนหมดเกลี้ยงเพราะตอนนั้นเขามีสมุดสิบกว่าเล่มเอง นั่นเหมือนเป็นเชื้อไฟให้กับตัวเองว่า สมุดที่เขาตั้งใจเย็บนั้นมันก็มีคนสนใจนะ โน้ตตั้งชื่อแบรนด์ตามชื่อตัวเองว่า Note a Book และเริ่มนำสมุดของเขาออกขายตามตลาดนัดหรืออีเว้นท์ต่างๆ มานับตั้งแต่วันนั้น
จากที่คิดว่าจะเข้าไปทำงานประจำเพื่อเก็บประสบการณ์ไม่กี่ปี มารู้สึกตัวอีกทีโน้ตก็พบว่าตัวเองทำงานที่ธนาคารได้มาถึงปีที่เจ็ดแล้ว อายุในตอนนั้นก็ปาเข้าไปสามสิบปี แล้วเขาก็ถามคำถามเล่นๆ กับตัวเองว่า จะทำงานจนเกษียณกับอาชีพนี้จริงๆ หรือ
แน่นอนว่าคำตอบคือไม่ ถ้าเขามีทางเลือกอื่น แต่ทางเลือกอื่นหนึ่งเดียวของเขานั้นกลับเป็นบางสิ่งที่ดูแตกต่างกับงานที่ทำอยู่ตอนนี้อย่างสิ้นเชิง
นายจะออกจากแบ้งค์ ไปขายสมุดจริงๆ เหรอวะ – ไม่ใช่แค่เพื่อนฝูงหรอกที่ถามคำถามนี้กับโน้ต เขาก็ถามตัวเองอยู่บ่อยๆ เช่นกัน แต่เมื่อตัดสินใจแล้วว่าเป็นไงเป็นกัน เขาจะต้องเดินหน้าต่อไปบนถนนสายกระดาษนี้แหละ โน้ตจรดปากกาเซ็นใบลาออก เปิดโลกใบใหม่ให้กับตัวเอง โลกที่เขาหลบซ่อนมันไว้ภายในใจมาหลายปี
“ผมเย็บสมุดด้วยความชอบจริงๆ ผมชอบสมุด ชอบเขียน ชอบอ่าน ทุกวันนี้ผมก็ยังทดลองอะไรใหม่ๆ กับสมุดเสมอ ผมอยากเรียนเย็บสมุดเหมือนกันนะ ทุกวันนี้ผมก็เรียนจากยูทูปจากหนังสือ ไม่เคยได้เรียนกับคนสักที จะว่าไปอาชีพนี้มันก็หาคนสอนไม่ง่ายนะ กลายเป็นว่าวันหนึ่งผมกลายเป็นครูไปเสียอย่างนั้น มีคนมาเรียนเย็บสมุดกับผม ผมก็สนุกนะ จริงๆ แล้วครูเป็นอาชีพในฝันของผมเลย สมัยเด็กตอนเขียนเรียงความเรื่องอนาคตของฉัน ผมเขียนว่าอยากเป็นครูแบบไม่ลังเล วันนี้ผมก็ได้เป็นครูแล้วแต่เป็นครูสอนเย็บสมุด”
ท่ามกลางสมุดที่มากมายในร้าน Note a Book มีทั้งแบบที่เป็นกระดาษ เป็นหนัง มีทั้งแบบที่เปลี่ยนไส้ได้และแบบที่มีลวดลายการเย็บที่สวยงาม สินค้าทั้งหมดในร้านเป็นสมุดทั้งหมดเลย เมื่อถามว่าทำไมไม่เอาของอย่างอื่นมาขายด้วยจะได้ช่วยเพิ่มยอดขาย โน้ตบอกว่าเขาอยากทำร้านสมุด ร้านที่มีแต่สมุด คือถ้าเป็นร้านหนังสือหรือร้านเครื่องเขียนก็จะเป็นอีกแบบ แต่นี่เขาอยากทำร้านสมุด
“ร้านที่คุณเข้ามาแล้วถ้าจำชื่อร้านไม่ได้ คุณจะจำได้ว่าเป็นร้านสมุด ผมอยากอนุรักษ์งานสมุดไว้ มันมีคนทำน้อยมาก อาจจะด้วยเหตุผลหลายอย่าง ผมเลยอยากรักษาไว้ อยากให้ใครมาเห็นก็ต้องประหลาดใจว่า เฮ้ย สมัยนี้ยังมีร้านสมุดทำมืออยู่อีกเหรอเนี่ย ฮ่าๆ”
ท่ามกลางสมุดมากมายกว่าพันเล่มในร้าน Note a Book เราลองถามโน้ตว่าเขาชอบเล่มไหนมากที่สุด เขากลับหยิบสมุดเก่าๆ จากชั้นหลังร้านมาให้เราดู
“นี่คือสมุดที่ผมรักที่สุดในร้านครับ จริงๆ ผมก็รักทุกเล่มนั่นแหละ แต่หกเล่มนี้พิเศษกว่าเพราะมันคือสมุดเฟรนด์ชิพ เป็นสมุดที่ลูกค้าจะเขียนข้อความประทับใจไว้ให้ ส่วนมากผมจะเอาไว้ตรงที่ผมทำงาน ลูกค้าคนไหนที่ผมได้คุยด้วยเป็นพิเศษผมก็จะขอให้เขาช่วยเขียนอะไรบางอย่างให้ ผมยื่นให้เขาเขียนกับมือเลย ผมเลยจำได้ว่าใครเขียนให้ จริงๆ ก็จำได้ไม่หมดหรอกนะครับ แต่ก็จะจำเหตุการณ์ตอนที่ได้นั่งคุยกันได้
“ผมอยากทำร้านสมุดที่มีชีวิตชีวา มีคนนั่งสนทนากัน มีการแลกเปลี่ยน มีเรื่องเล่า มีดนตรี มีสิ่งที่เป็นผมอยู่ในนี้ สำหรับผมแล้วสมุดเป็นสื่อกลางที่พาเรามาพบกัน นอกจากนั้นแล้วเราจะคุยกันเรื่องเล่าของชีวิต สมุดมันจบตรงนั้นแล้ว สำหรับผม ผมนิยามสมุดคือกระดาษที่ว่างเปล่า ที่เรามาร้อยเชือกเข้าด้วยกัน เท่านั้นเอง สมุดคือของที่ไม่เสร็จนะ ซื้อแล้วคุณต้องไปทำให้มันสมบูรณ์ สมุดที่สวยๆ เย็บดีๆ ก็เป็นความงามที่น่าอภิรมย์อย่างหนึ่ง แต่สมุดที่สมบูรณ์คือสมุดที่ถูกเขียน”
ในปีที่ผ่านมาโน้ตได้เขียนหนังสือเล่าเรื่องราวของตัวเองขึ้นมาเล่มหนึ่งในชื่อ “Note a Book Story” เพื่อตอบคำถามใครต่อใครที่มักถามอยู่เสมอว่า ทำไมถึงมาเย็บสมุด มีที่มาที่ไปอย่างไร และเรื่องราวการออกจากงานมาสร้างชีวิตใหม่บนถนนที่ปูด้วยกระดาษของเขาก็ช่วยสร้างแรงบันดาลให้ใครหลายคนลุกขึ้นมาทำตามความฝันของตัวเอง
“ตอนที่ผมเขียนหนังสือเล่มนี้ มันเขียนออกมาอย่างลื่นไหลมากเลยนะ หนึ่งเพราะมันเป็นเรื่องราวของตัวเอง และในระหว่างที่เขียนผมก็ได้อ่านด้วย ผมได้อ่านหัวใจตัวเอง”
เราหันไปมองที่ผนังร้านอีกครั้งและพบกับข้อความเดิม ถึงนาทีนี้เราเชื่ออย่างไม่สงสัยว่ามันจริงตามนั้น ลูกค้าสองสามคนเข้ามาในร้าน หนึ่งในนั้นซื้อสมุดเล่มหนึ่งที่พิมพ์ข้อความนั้นติดไว้ตรงปก โน้ตให้เพื่อนช่วยแปลเป็นภาษาอังกฤษ ให้สามารถสื่อสารออกไปให้คนทั้งโลกอ่านและรักมัน และถ้าคุณอยากได้สมุดเพื่อเขียนสักเล่มคุณจะไปหาที่ไหนก็ได้ แต่ถ้าคุณอยากได้สมุดเพื่อเขียนแล้วยังได้อ่านหัวใจตัวเองด้วย เราขออนุญาตแนะนำสมุดทำมือของ Note a Book
“When you read you are reading the writer’s words but when you write you are reading your soul”
Source : https://inceptionist.co/note-a-book/