1 ปีแล้วที่ผมก้าวออกมาจากการเป็นมนุษย์เงินเดือน เป็นการกระทำที่บ้าบิ่นพอสมควร วันนี้ผมจึงอยากถือโอกาสนี้ เล่าเรื่องราวของตัวเอง รวมถึงการเดินทางของ Note a Book ให้ฟังด้วยครับ เป็นเรื่องเล่าที่ผมเล่าให้ใครหลายคนฟัง หลายคนได้แรงบันดาลใจ หลายคนได้รับข้อคิด หลายคนก็ได้ความเพลิดเพลิน ฮ่าๆ อ่านแก้เหงาก็แล้วกันนะครับ ผมเพียงอยากบันทึกอะไรไว้ก็เท่านั้น
ก่อนอื่นต้องบอกว่านี่ไม่ใช่การโอ้อวดหรือการประสบความสำเร็จใดๆ นี่เป็นเพียงการบันทึกการผ่านช่วงเวลาของชีวิตเท่านั้นครับ
เรื่องมันยาวนะครับ ชงเหล้า หรือเปิดตู้เย็นไปหยิบเบียร์ก่อนก็ได้
ผมจบคณะเศรษฐศาสตร์ มช มาแบบงงๆ ทั้งตอนเข้าและตอนออก สมัยมัธยมผมเก่งวิชาสังคม มีการตอบปัญหาวิชาสังคมของนักเรียนผมได้ไปตอบกวาดเหรียญมาตลอด ตอนเข้ามหาลัยเลยหาอะไรที่เกี่ยวกับสังคมศึกษา ไปเปิดดูสารบัญก็เจอเศรษฐศาสตร์ เป๊ะเลย ชื่อดี สวยงาม ดูมีภูมิ แถมอยู่ในวิชาสังคมด้วย ผมเลยเลือกคณะนี้ แล้วดันสอบติดเสียด้วย เย่ พอมาเรียนเท่านั้นแหละพี่น้อง คณิตทั้งนั้น คณิตบวกพวกกราฟแล้วเอาสังคมมาอธิบาย ฮ่าๆ บรรลัย แต่ผมก็จบมาแบบไม่หนักหนา ก็พอจำได้อธิบายกราฟได้ เกาะมีนสอบกลางภาคได้ จบมาแบบเกรดนิยม พร้อมกับการมองหางานทำ งานอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่งานแบ้งค์
ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ผมรู้สึกไม่อยากทำแบ้งค์ ตอนปี 3 เขาให้ฝึกงานอะไรก็ได้ เพื่อนฝูงก็ไปฝึกที่แบ้งค์ หรือโบรกเกอร์ ตรงตามสายที่เรียนมา ไอ้เราไปฝึกมูลนิธิเด็ก ฮ่าๆ คือหาทางหนีแบ้งค์นั่นแหละ ตอนนั้นหนีได้ น่าจะเป็นคนเดียวในรุ่นมั้งที่ไปฝึกงานแบบไกลจากสิ่งที่เรียนลิบลับ
แต่ก็นั่นแหละครับ เดอะเดสทินี่ โชคชะตาฟ้าลิขิต ผมไปเป็นพนักงานขายคอมอยู่ระยะหนึ่งแล้วไม่พอกิน สุดท้ายก็ต้องเข้าแบ้งค์ เพราะว่ากันตามตรง เป็นงานที่ให้เงินเดือนดีอยู่นะ สำหรับเด็กจบใหม่ไร้ประสบการณ์
2 ปีผ่านไป ผมรู้สึกอย่างหนักว่างานนี้มันไม่ใช่ แต่ก็ไม่รู้จะทำอะไร 4 ปีผ่านไปผมย้ายสาขามาเชียงใหม่ เพื่อพบความแตกต่าง แต่ก็ไม่พบ สุดท้ายผมพบว่า หัวใจมันแห้งเหี่ยวเหมือนหน้าเวนเกอร์ ผมต้องทำอะไรสักอย่าง วันหนึ่งผมถามตัวเองว่า มึงจะทำงานนี้ไปจนเกษียณจริงๆ เหรอวะ คำตอบคือไม่ (ถ้าเลือกได้) นั่นจึงเป็นจุดที่ผมเริ่มจริงจัง กับคำว่าออก
ผมจริงจังจริงๆ นะ แม้ว่าผมจะดูมีความสุขดีเวลาได้บริการลูกค้า เฮฮากับเพื่อนพนักงานได้ทุกคน หลายเย็นไปสังสรรค์ บางวันเมาหยำเป แต่ในใจคิดเรื่องนี้อยู่เสมอแหละครับ แค่ไม่ใช่ทุกนาทีเท่านั้น
เวลาก็หมุนของมันไป ชีวิตก็หาอะไรทำ…
ถ้าใครรู้จักผมแบบสนิท จะรู้ว่าผมเป็นสายไอเดีย ชอบคิดและหานั่นนี่ทำ ตอนอยู่แบ้งค์สิ่งที่ผมทำได้ดีไม่แพ้ใครๆ คือการกู้เงินครับ เทพป่ะละ กู้จนเริ่มวน วนจนเริ่มมึน ผมต้องหารายได้เพิ่มแล้วล่ะ จนเข้าสู่วงการ Internet Marketing ทำไปงงไปมั่วไป ได้บ้างขาดบ้าง ยังไม่พอกิน และที่สำคัญมันมาๆหายๆ แต่ก็ยังดีครับ ที่ยังพอมีอะไรให้เป็นช่องทางว่า อ้อ ตรงนี้มันก็ทำเงินได้นะ ถ้ามึงอยากออก
ทีนี้มาถึง Note a Book อันนี้เรียบง่ายกว่ามาก คือตอนนั้นผมทำงานแบ้งค์ใช่มั้ยครับ อยู่หน้าคอมทั้งวัน กลับบ้านผมก็เล่นคอม เพื่อระบายความเครียด เล่น FM2008 ครับ ไม่ชอบภาคอื่น เกมเร็วๆ ผมไม่เล่น กดไม่ทัน แต่ถ้าใครเคยเล่น FM นะ จะเข้าใจเลยว่า ขออีกเกมเป็นไง ยันหว่างเลยล่ะมึง ผมเล่นมาเกือบ 200 ฤดูกาลอ่ะคิดดู จะทำลายสถิติโลกของฝรั่ง ชั่วโมงเล่นเกมสองเดือนกว่า (ไอ้เกมมันก็คอยนับให้เราละอายใจ) จนผมรู้สึกว่า แบบนี้ไม่ดีแน่ๆ ทั้งสายตาทั้งชีวิต ผมเลยอยากออกห่างจากคอม หวยเลยมาออกที่เย็บสมุด
แค่อยากเลิกเล่นเกม และมีสมาธิกับอะไรสักอย่าง แค่นั้นจริงๆ ครับ จุดเริ่มต้นของ Note a Book ผมชอบอ่าน ชอบเขียน มาตั้งแต่ไหนแต่ไร การชอบสมุด เครื่องเขียน จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ยิ่งสมุดทำมือมันช่างคลาสสิกเย้ายวน ยิ่งชอบ แต่ก็ไม่คิดจะจริงจังอะไรนะครับ อย่างที่บอกแค่อยากห่างคอมเท่านั้น
ทำเล่นไปเรื่อย เย็บทิ้งเย็บขว้าง เย็บเบี้ยวเข็มหัก เริ่มทำแจกเด็กฝึกงานที่แบ้งค์ จนวันหนึ่งหาญกล้าออกตลาดนัด ที่บ้านข้างวัดเลยครับงานแรก Yard Sale #1 ไม่กะอะไรเลยครับ มีสักสิบกว่าเล่มเอง กะไปสนุกๆ ปรากฏว่าขายได้ ฮ่าๆ มีคนฮ่องกงมาเหมาไปสี่ห้าเล่ม และเธอสวยด้วย วิ๊ววว สองวันได้มาพันเจ็ด ดีใจเป็นบ้า จากนั้นก็ออกตลาดนัดเรื่อยมา แต่ก็ไม่ได้อะไรมากมายนะครับ รวมๆ เดือนละ พันสองพัน อย่างดีก็สี่ห้าพัน หักทุนอะไรแล้วแค่เอาเพื่อนฝูงล่ะครับ จะไปพอกินอะไรได้เดือนเท่านี้
ช่วงนั้นเลยทำอยู่สามสิ่ง ทำแบ้งค์ ทำ IM และทำสมุด และมีแบ้งค์เท่านั้นที่ให้เงินเราแน่ๆ ทุกเดือน อันอื่นหนักไปทางไม่ได้ หรือน้อยนิด
แล้ววันที่ผมตัดสินใจลาออกก็มาถึง เป็นช่วงเวลาที่ผมไม่มีวันลืม…
ยกแก้วก่อนสิครับ มันจะเข้มข้นละนะ
ผมชอบช่วงเวลาบริการลูกค้านะ ลูกค้ามาฝากถอน ทำนั่นนี่ ลูกค้าประจำก็เยอะทำไปคุยไปสนุกดีครับเพลินด้วย แต่ไอ้ที่ไม่สนุกคืองานหลังบ้านนี่แหละครับ ตัวดูดพลังชั้นดี ไม่อธิบายมากเอาเป็นเป็นว่า ไม่ตรงกับ lifestyle ผมเลย
วันหนึ่งผมนั่งทำงานหลังบ้านนี้แหละครับแบบหนักมาก มากจนมือระบม ออกแบ้งค์ตอนสักสองทุ่มขับรถกลับบ้าน เสียงในหัวถามตัวเองว่า มึงเหนื่อยขนาดนี้ วันนี้มึงได้กี่บาทวะ คำตอบก็คือหนึ่งพัน เอาเงินเดือนมาเฉลี่ยต่อวันทำงานก็ได้ราวๆนั้น แล้วอีกเสียงหนึ่งก็บอกว่า ขายสมุดก็ได้นะเว้ยพันนิ หรือถ้าได้ 8 ชั่วโมงทำงานกลับมา แล้วไปทำอื่นก็น่าจะได้นะ อะไรแนวๆนี้ คือคิดเรื่องเงินเป็นหลักครับ ว่ากันตามตรงเพราะออกไม่ใช่เรื่องยาก เรื่องยากคือจะอยู่ยังไงหลังจากออก
ได้ความแล้วก็คุยกับภรรยา เธอตามใจผมอย่างแอบหวั่นในใจ ขบคิดกับตัวเองอีกหลายวัน ไม่พูดจากับใครสักคนยกเว้นลูกค้า จนเอาวะ ไปคุยกับ ผจก แกบอก โอเค มึงลาพักร้อนไปคิดดีๆ 1 สัปดาห์
แผนตอนนั้นเป็นแบบนี้ครับ ผมจะหาพื้นที่ขายสมุดให้ได้มากที่สุด ทุกวันก็ยิ่งดี ตามตลาดนัด ตามงานต่างๆ อันนี้ผมเรียกว่าเงินวัน , และจะกลับไปรื้อฟื้นงาน Internet Marketing ที่พอมีเบสิคอยู่บ้าง ซึ่งงานพวกนี้จะจ่ายเงินเป็นเดือนครับ ผมเรียกว่าเงินเดือน ซึ่งบางทีก็ทำไว้เป็นปีๆ กว่าจะมีเงินเดือนให้กิน ที่สำคัญกว่าเลยเป็นเงินวันจากการขายสมุดนั่นเอง
นั่นแผน 1-2 ทีนี้แผน 3-4 ถ้าแผนแรกๆ ไปไม่รอด ผมหันซ้ายหันขวาเจอฟอร์ดเฟียสต้า เครื่องพันหกตัวท็อปจอดอยู่อย่างสง่างาม ลองถามเพื่อนฝูงฝั่งไฟแน้นซ์ว่าจะเปลี่ยนเป็นเงินสดได้สักเท่าไรหากจำเป็น ข่าวดีคือเนื่องจากเป็นรถอเมริกา ชื่อเสียงโด่งดัง บางครั้งดังโครม บางครั้งดังครืดๆ ทางไฟแนนซ์จึงบอกมาว่า รถรุ่นพิเศษไม่มีราคาประเมิน โธ่ ตัวท็อปกู ง่ายๆ คือเขาไม่อยากเอานั่นแหละครับ ผมจึงหาแผนสี่ หมดทางหันกลับไปมองบ้าน พ่อก็แก่ลงทุกวัน ค้าขายเร่ไปตามหมู่บ้านก็ผ่อนไป ผมไปทำแบบพ่อได้มั้ย ไม่ต้องไปสืบต่อกิจการแกหรอก ถามตัวเองว่าถ้าถึงที่สุดมึงต่อมอเตอร์ไซต์พ่วงข้างเร่ขายของไปตามประสาได้มั้ย คำตอบคือได้ สบายมาก ผมจึงตัดสินใจลาออก รวมระยะเวลาอยู่แบ้งค์ได้ 7 ปีพอดี
จำได้ว่าวันสุดท้ายของการทำงาน ผมที่ชอบโพสยาวๆ กลับคิดอะไรไม่ออก มีเพียงรูปถ่ายกับป้ายและคำสั้นๆว่า Last day, Thank you for all
ออกมาแบบชายมีหนี้ ไม่มีเงินเก็บ ทิ้งเงินเดือน 2-3 หมื่น มาเสี่ยงเอากับอะไรไม่รู้ที่มักจะได้สัก 2-3 พัน ต่อเดือน ไม่รู้กล้าทำลงไปได้ไง แต่ก็มั่นใจมาก บอกกับทุกคนแบบนั้น ไม่รู้ว่าที่พูดย้ำๆ นั่น บางทีเพราะอยากสยบความกลัวของตัวเองหรือเปล่า
แล้วแต้มบุญก็มา…
บ้านข้างวัด ที่ๆ ผมชอบไปขาย รวมถึงมาเที่ยวเล่น มันมีที่ว่างอยู่นิดนึง เขาปล่อยเช่า ผมก็เสนอโปรไฟล์แข่งบิดกับคนอื่นอยู่ แต่ก็ไม่รู้เลยนะครับ ว่าเขาจะเลือกใคร จะเลือกเมื่อไร แต่ 6 วันหลังจากผมออกก็มีคนโทรมาแล้วบอกว่า เฮ้ย มึงได้ที่ตรงนี้นะ มาขายได้เลย
และนั่นก็เป็นจุดสิ้นสุดของมนุษย์เงินเดือน เริ่มต้นการสร้าง Note a Book อย่างจริงจัง จากเพิงหลังเล็ก หาญกล้ารีโนเวททำหลังใหญ่ จากมีสมุดไม่กี่สิบเล่ม เป็นมีหลายร้อยเล่ม จากทำเพียงคนเดียว เป็นมีน้องๆ มาช่วยหลายชีวิต และจากไม่มีใครรู้จัก จนเริ่มมีคนรู้จักมากขึ้น
ความฝันทำร้านสมุดได้เป็นจริง ร้านสมุดทำมือ ร้านที่มีแต่สมุดทำมือ ละลานด้วยสมุด มากด้วยสมุด ไม่ขายทุกอย่างปนเปเหมือนร้านของชำ ร้านที่แม้ว่าใครจะไม่รู้จักชื่อก็จะเรียกร้านนี้ว่าร้านสมุด ร้านสมุดที่ผมตั้งใจไว้ว่าจะไม่ใช่ร้านสมุดที่เก่งที่สุด ไม่ใช่ร้านสมุดที่ลายเย็บเทพที่สุด แต่จะเป็นร้านสมุดที่อบอุ่นและน่ารัก ในราคาที่ทุกคนจับต้องได้
นั่นเพราะความบ้าในวันนั้นที่แท้เทียว ส่วนสินค้านั้นก็เกิดจากการอยากออกห่างจากคอม ลองทำตาม Youtube จากนั้นก็ลองผิดลองถูกด้วยตัวเองเรื่อยมา
1 ปีที่ผ่านไป Note a Book ในบ้านข้างวัดเริ่มตั้งไข่, 2 ปี 5 เดือนหากนับรวมวันที่สมุดทำมือเล่มแรกปรากฎ ถึงนาทีนี้ผมพูดได้ว่า ผมภูมิใจว่ะ ผมภูมิใจได้มั้ย ภูมิใจในตัวเองที่อย่างน้อยผมก็ได้ทำอะไรที่อยากทำ มันอาจจะดูเล็กน้อย แต่มันโคตรยิ่งใหญ่เลยนะสำหรับผม ยิ่งใหญ่ยังไงก็ไม่รู้จะอธิบาย แต่รู้ว่ายิ่งใหญ่อยู่ในใจ
และแม้จะดูเหมือนว่าผมได้ต่อสู้และเลือกทางเดินมาด้วยตัวเอง แต่มันก็มีพลังผลักดันอยู่ข้างหลังเสมอ ทั้งที่มองเห็นและส่งผ่านมาเป็นสายลมที่อ่อนโยน ภรรยาที่คอยให้กำลังใจ ครอบครัวที่ปล่อยให้ผมได้ทำตามใจมาโดยตลอด เพื่อนฝูงที่คอยดูแลกัน ทางทีมงานบ้านข้างวัดที่ให้โอกาส น้องๆ ที่คอยมาช่วยงานที่ร้าน ลูกค้าทุกคนที่ช่วยอุดหนุน หรือเพียงมาแวะเวียนให้กำลังใจกันแค่นั้นก็แสนงดงาม เพื่อนฝั่งแบ้งค์และผู้หลักผู้ใหญ่หลายท่านที่ให้โอกาสผมได้ทำงานด้วยผมก็ขอบคุณแม้วันนี้ผมจะเลือกเดินทางอื่น และอีกมากมายหลายคนที่ได้เป็นพลังใต้ปีกของผม ขอบคุณจริงๆครับ จากหัวใจ
ท้ายนี้ผมอยากฝากถึงใครก็ตามที่อยากได้ของฝากว่า หากอยากทำอะไรจำไว้แค่ 2 คำ คือ Do it ทำมัน ทำไปเหอะ อย่าไปคิดมาก แต่ก็อย่าไปเสียมาก ทำในส่วนที่เราทำได้ ทำไปเลย บางครั้งสิ่งที่เราอยากทำ พอลงทำมันจริงๆ ไม่ได้สนุกอย่างที่คิด และ 2 คือ What for? ทำทำไม สำคัญนะครับ ตอบให้ได้ว่าทำทำไม ถ้าทำเพื่อสนุกแล้วเกิดไม่สนุกก็ให้เลิกทำครับ ทำเพื่อเงินก็คือทำเพื่อเงินอย่าไปหาคำสวยหรู ทำเพื่อสังคม หรือทำเพื่ออยากหนีคอมแบบผมก็ได้นะ สุดท้ายมันจะพาเราไปพบปลายทางอีกแบบก็ไม่เป็นไร แต่ควรตอบตัวเองให้ได้ในขณะทำว่า ทำทำไม ผมสอนน้องๆ หลายคนที่มารับงานของผมไปทำว่า ทำให้เป็นรายได้เสริมนะ อย่าให้เป็นภาระเสริม เพราะอย่างหลังคงไม่ดีแน่
ขอให้ทุกคนมีความสุขกับชีวิต และได้เดินทางตามวิถีที่ตั้งใจ
โน้ต
Note a Book
Chiang Mai , Thailand
October 5, 2018
Source: https://www.facebook.com/noteabookshop/posts/710540979302992